ผลกระทบจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
เงินเฟ้อจากการขอหรือเรียกร้องขึ้นค่าจ้าง
นักลงทุนพิจารณาหลายปัจจัยในการตัดสินใจว่าจะลงทุนที่ใด ปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งคือความอยู่ดีมีสุขทางเศรษฐกิจของประเทศที่ต้องการลงทุน นักลงทุนจะพิจารณาสุขภาพหรือศักยภาพทางเศรษฐกิจผ่านจุดข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงอัตราการว่างงาน ความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภค อัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ นักลงทุนปรารถนาที่จะลงทุนในประเทศที่สร้างงาน มีอัตราความเชื่อมั่นสูง และควบคุมเงินเฟ้อได้
เงินเฟ้อคืออะไร?
เงินเฟ้อคือภาวะที่ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น มูลค่าอ้างอิงของสกุลเงินท้องถิ่นจะลดลง เช่น หากคุณมี $100 จะซื้อของในร้านค้าท้องถิ่นได้เต็มตะกร้า หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 5% ในหนึ่งปี เงิน $100 จะซื้อของได้เพียง 95% ของตะกร้า
อ้างอิงจากเครื่องคำนวณเงินเฟ้อของสำนักสถิติของสหรัฐฯ ธนบัตร $100 ในปี 2000 มีอำนาจซื้อ $150 ในเดือนกันยายน 2018 และธนบัตร $100 ในปี 1950 มีอำนาจซื้อ $1,074 ในเดือนกันยายน 2018
เงินเฟ้อปานกลางและเสถียรถือว่าดีต่อเศรษฐกิจ เพราะมักสะท้อนอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ในภาวะดังกล่าว บริษัทอาจปรับราคาขึ้นและรักษาความสามารถในการทำกำไร ซึ่งรองรับการขยายตัวของธุรกิจและการสร้างงาน
ในทางตรงกันข้าม เงินฝืดคือภาวะที่ราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น หากราคาน้ำมันลดลง $10 ในหนึ่งปี ผู้บริโภคอาจใช้เงินที่ประหยัดได้ไปซื้อของอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินฝืดรุนแรงเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ เพราะบริษัทจะมีกำไรต่อหน่วยน้อยลง มีปัญหาในการชำระหนี้ และปลดพนักงานออก อัตราการว่างงานภายในประเทศเพิ่มขึ้น
อีกแนวคิดสำคัญคือเงินเฟ้อรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออัตราเงินเฟ้อรายเดือนของประเทศมากกว่า 50% เงินเฟ้อรุนแรงอันตรายเพราะจะทำให้สกุลเงินท้องถิ่นสูญเสียมูลค่าและคนทั่วไปจับจ่ายซื้อของทั่วไปไม่ได้
ท้ายสุด ภาวะเศรษฐกิจชะงักชะงันและเงินเฟ้อ ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจช้า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อสูง พบได้บ่อยในประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและมักเกิดขึ้นเมื่อราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น นำไปสู่การเติบโตช้าและราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ซึ่งอย่างหลังเกิดจากราคาน้ำมันสูงขึ้น นำไปสู่ต้นทุนการผลิตและการขนส่งที่สูงขึ้น
ประเภทของเงินเฟ้อ
เรามาดูเงินเฟ้อประเภทต่าง ๆ การทราบเงินเฟ้อแต่ละประเภทเหมือนกับการเข้าใจกฎของเกมระดับโลก เมื่อคุณเข้าใจเงินเฟ้อ คุณจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบจากอุปสงค์สูงขึ้น
เงินเฟ้อจากอุปสงค์สูงขึ้นเกิดขึ้นเมื่อความต้องการสินค้าและบริการสูงกว่าความสามารถในการผลิตมาสนองตอบ
พูดง่าย ๆ คือเมื่อคนจำนวนมากต้องการซื้อบางอย่าง แต่มีไม่พอขาย ผู้ขายอาจปรับราคาขึ้นเพราะผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินมากขึ้น มักเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจดี คนจำนวนมากมีงานมั่นคงและรายได้สูง เมื่อมีเงินเหลือใช้มากขึ้น ผู้คนมักจะซื้อสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
จินตนาการว่ามีอุปกรณ์เล่นเกมใหม่เปิดตัว และได้รับความนิยมมาก หากความต้องการเพิ่มขึ้น 3% แต่ผู้ผลิตเพิ่มกำลังการผลิตได้เพียง 2% ปริมาณจึงไม่พอที่จะตอบสนองความต้องการของทุกคน ผลที่ตามมาคือราคาจะสูงขึ้นเพราะผู้คนต่างต้องการเป็นเจ้าของ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น บริษัทอาจต้องจ้างพนักงานมากขึ้น ซึ่งสร้างงานและเพิ่มเงินในเศรษฐกิจมากขึ้น เมื่อการใช้จ่ายยังคงเพิ่มขึ้น ราคาอุปกรณ์เล่นเกมนี้อาจสูงยิ่งขึ้น
ผลกระทบจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
ผลกระทบจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นหมายถึงการเพิ่มขึ้นของราคาเมื่อต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
เกิดขึ้นเมื่อต้นทุนวัสดุ แรงงาน หรือทรัพยากรอื่น ๆ เพิ่มขึ้น บริษัทจะมีต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น ธุรกิจปรับราคาขึ้นเพื่อครอบคลุมต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่เงินเฟ้อโดยรวมในเศรษฐกิจ
หากราคาวัตถุดิบอย่างผักหรือเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น ร้านอาหารจะปรับราคาอาหารมื้อโปรดของคุณเพื่อครอบคลุมต้นทุนที่สูงขึ้น หากพลังงาน (เช่น แก๊สหรือไฟฟ้า) และวัสดุ (เช่น โลหะหรือไม้) แพงขึ้น ทุกอย่างที่เราซื้ออาจมีต้นทุนสูงขึ้น
หากร้านกาแฟเจ้าโปรดปรับราคากาแฟเพราะเมล็ดกาแฟแพงขึ้น นั่นเรียกว่า เงินเฟ้อจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซึ่งหมายถึงราคาเพิ่มขึ้นเพราะร้านกาแฟมีต้นทุนการชงกาแฟสูงขึ้น
หากผู้คนจำนวนมากยังคงต้องการกาแฟแม้ราคาจะแพงกว่าเดิม อาจนำไปสู่เงินเฟ้อจากอุปสงค์สูงขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น
เงินเฟ้อจากการขอหรือเรียกร้องขึ้นค่าจ้าง
เงินเฟ้อจากการขอหรือเรียกร้องขึ้นค่าจ้างคือวงจรที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนคาดหวังว่าราคาจะยังคงเพิ่มขึ้นในอนาคต
เมื่อต้นทุนสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ผู้คนต้องการเงินเพิ่มขึ้นเพื่อจับจ่ายใช้สอยได้ตามเดิม คนงานอาจขอหรือเรียกร้องขึ้นค่าจ้างเพื่อให้รายได้ตามทันกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น เมื่อธุรกิจขึ้นค่าจ้าง ต้นทุนการผลิตก็จะสูงขึ้น บริษัทอาจปรับราคาอีกครั้งเพื่อรักษาเงินกำไร เงินเฟ้อจึงสูงยิ่งขึ้น วงจรค่าจ้างและราคาที่สูงขึ้นจะยังคงอยู่หากความคาดหวังเงินเฟ้อยังไม่หายไป
จินตนาการว่าคุณมีรายได้ $500 ต่อสัปดาห์ และครอบคลุมค่าอาหาร เสื้อผ้า และความบันเทิง แต่หากราคาสินค้าและบริการเริ่มเพิ่มขึ้น เงิน $500 อาจไม่เพียงพอ คุณอาจคาดหวังว่านายจ้างจะขึ้นค่าแรงเพื่อให้ยังคงจับจ่ายได้ตามเดิม เมื่อคนงานจำนวนมากขอหรือเรียกร้องขึ้นค่าจ้าง ธุรกิจตอบสนองด้วยการขึ้นราคา เงินเฟ้อจากการขอหรือเรียกร้องขึ้นค่าจ้างจึงเกิดขึ้น
เมื่อราคาสูงขึ้น ผู้คนตอบสนองด้วยการขอหรือเรียกร้องขึ้นค่าจ้างเพื่อให้รายได้ตามทันกับต้นทุนที่สูงขึ้น ท้ายที่สุด จึงเกิดวงจรที่ทุกอย่างมีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ข้อดีและข้อเสียของเงินเฟ้อ
แม้เงินเฟ้อมักถูกมองในแง่ลบ แต่เงินเฟ้อปานกลางอาจมีประโยชน์หลายอย่างต่อเศรษฐกิจ
- เมื่อราคาค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ผู้คนมีแนวโน้มที่จะใช้เงินตอนนี้แทนที่จะรอ เนื่องจากเงินจำนวนเดียวกันจะซื้อของได้น้อยลงในอนาคต กระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่าย ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม หากทุกคนชะลอการใช้จ่ายโดยคาดหวังว่าราคาสินค้าและบริการจะลดลง ธุรกิจจะมีรายได้ลดลง อาจนำไปสู่การปลดพนักงาน
- เงินเฟ้ออาจยังมีประโยชน์แก่ลูกหนี้ เช่น หากคุณยืม $10,000 วันนี้ การจ่ายหนี้คืนจะง่ายขึ้นเพราะมูลค่าเงินจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป พูดง่าย ๆ คือคุณจ่ายหนี้คืนในราคา ‘ถูกลง’ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งกับการกู้ยืมระยะยาวอย่างสินเชื่อบ้าน ค่าผ่อนบ้านรายเดือนเท่าเดิมแต่รายได้และมูลค่าบ้านอาจเพิ่มขึ้น
- รัฐบาลยังได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อ เมื่อราคาเพิ่มขึ้น ภาษีขาย (ที่อ้างอิงจากราคาซื้อ) จะสร้างรายได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากสินค้าที่เคยมีต้นทุน $60 แต่ตอนนี้เป็น $70 รัฐบาลจะเก็บภาษีได้มากขึ้นจากการขายแต่ละครั้ง รายได้ที่เพิ่มขึ้นอาจจัดสรรไปยังบริการสาธารณะต่าง ๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน
- สุดท้าย เมื่อผู้คนคาดหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้น อาจตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ความต้องการสินค้าและบริการจึงเพิ่มขึ้น อาจทำให้ธุรกิจขยายตัวและจ้างคนงานมากขึ้นเพื่อตอบสนองกับความต้องการที่มากขึ้น ช่วยลดอัตราการว่างงานและกระตุ้นการเติบโตของงาน
ข้อเสียของเงินเฟ้อ
- เงินเฟ้อกลายเป็นปัญหาเมื่อราคาของใช้ในชีวิตประจำวัน (เช่น อาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัย) เพิ่มเร็วกว่ารายได้ของผู้คน อำนาจซื้อลดลง จึงซื้อของได้น้อยลงด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม กระทบครัวเรือนที่มีรายได้น้อยหนักที่สุด เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่หมดไปกับสิ่งของจำเป็น ทำให้ปรับตัวกับการปรับขึ้นราคาได้น้อย
- เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น คนงานมักขอหรือเรียกร้องขึ้นค่าจ้างเพื่อให้รายได้ตามทันกับค่าครองชีพ แต่หากธุรกิจผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ ธุรกิจอาจปรับราคาขึ้นแทน เงินเฟ้อจะสูงยิ่งขึ้น
- เงินเฟ้อสูงหรือคาดเดาไม่ได้ยังทำให้ธุรกิจวางแผนอนาคตได้ยากขึ้น ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับต้นทุนและราคาอาจนำไปสู่การลงทุนที่ลดลงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศที่มีเงินเฟ้อสูงยาวนานมักประสบกับศักยภาพทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในระยะยาว
- เงินเฟ้อยังกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศ หากราคาเพิ่มเร็วเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่น สินค้าส่งออกมีราคาแพงขึ้น ธุรกิจในประเทศจะขายสินค้าในต่างประเทศได้ยากขึ้น
- ผู้ฝากเงินก็ได้รับผลกระทบ เงินเฟ้อลดทอนมูลค่าของเงินเมื่อเวลาผ่านไป เงินฝากมีอำนาจซื้อลดลง โดยเฉพาะหากอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เกษียณอายุหรือคนอื่น ๆ ที่อาศัยเงินฝากประจำ
- พันธบัตรรัฐบาล (หรือก็คือการให้รัฐบาลกู้เงิน) สูญเสียมูลค่าในช่วงเงินเฟ้อสูง นักลงทุนต้องการอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อชดเชยผลกระทบจากเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลแพงขึ้น
- สุดท้าย เมื่อเงินเฟ้อสูงเกินไป รัฐบาลอาจจำเป็นใช้มาตรการเข้มงวด เช่น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหรือการลดค่าใช้จ่ายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้คนตกงาน และอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะสั้น
สาเหตุของเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อเกิดขึ้นหลายสาเหตุ รวมถึง
- การขยายตัวของปริมาณเงิน เมื่อธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงิน เงินในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นแต่ปริมาณสินค้าและบริการเท่าเดิม ราคาสินค้าและบริการจึงเพิ่มขึ้น ตัวอย่างที่เด่นชัดคือซิมบับเว การพิมพ์เงินจำนวนมากเพื่อพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง และการพังทลายของมูลค่าสกุลเงินท้องถิ่น
- นโยบายการเงิน การตัดสินใจของธนาคารกลางเพื่อบริหารเศรษฐกิจ มักทำผ่านการควบคุมปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ย การลดอัตราดอกเบี้ยกระตุ้นการกู้ยืมและการใช้จ่าย อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม นโยบายสายเหยี่ยว (การขึ้นอัตราดอกเบี้ย) ช่วยควบคุมเงินเฟ้อ ธนาคารอาจยังลดค่าเงินเพื่อกระตุ้นการส่งออก แต่อาจนำไปสู่การนำเข้าสินค้าในราคาสูงขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดเงินเฟ้อ
- การเพิ่มภาษี รัฐบาลอาจเพิ่มภาษีจากสินค้าและบริการเพื่อบริการสาธารณะหรือลดการขาดดุล การเพิ่มภาษี (เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีสรรพสามิต) มักถูกส่งต่อให้กับผู้บริโภคในรูปของราคาที่สูงขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดเงินเฟ้อ
- ความผันผวนของอุปสงค์และอุปทาน โดยปกติแล้ว ราคาจะผันผวนตามอุปสงค์และอุปทาน หากความต้องการสินค้าหรือบริการมากกว่าปริมาณสินค้าหรือบริการในตลาด เช่น ในช่วงสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญขาดตลาด เช่น น้ำมันดิบ ราคาผู้บริโภคอาจปรับขึ้น การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณสินค้าและ/หรือบริการในตลาดอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อถึงแม้พฤติกรรมผู้บริโภคจะไม่เปลี่ยนแปลง
- การเติบโตทางเศรษฐกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอาจยังนำไปสู่เงินเฟ้อ เนื่องจากผู้คนมีงานทำมากขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น อาจทำให้ราคาเพิ่มขึ้น ความสัมพันธ์ดังกล่าวมักอยู่ในเส้น Phillips Curve ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเงินเฟ้อมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อการว่างงานลดลง เนื่องจากความต้องการในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
มาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ
หากต้องการทราบอัตราเงินเฟ้อ นักเทรดสามารถใช้ปฏิทินเศรษฐกิจ ซึ่งมีหลายตัวชี้วัดทางการเงิน ได้แก่
- ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) แสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยในระบบเศรษฐกิจ
- ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน แสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย ยกเว้นสินค้าประเภทอาหารและพลังงานที่มีราคาผันผวน
- ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าที่ผู้ผลิตในประเทศได้รับ
- ยอดขายปลีก แสดงการเติบโตของยอดขายปลีกในประเทศ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น
- ตัวเลขการจ้างงาน เส้น Phillips Curve เปรียบเทียบอัตราเงินเฟ้อกับจำนวนตำแหน่งงานตามที่อธิบายข้างต้น เมื่อการจ้างงานเพิ่มขึ้นและอัตราการว่างงานลดลง คาดว่าเงินเฟ้อมักจะเพิ่มขึ้น
ทำไมนักเทรดต้องใส่ใจเงินเฟ้อ?
เงินเฟ้อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักเทรดเมื่อตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายสกุลเงิน เพราะธนาคารกลางมีอิทธิพลต่ออัตราดอกเบี้ยของประเทศ
หนึ่งในบทบาทของธนาคารกลางคือรักษาเสถียรภาพของราคาผลิตภัณฑ์ในประเทศ ดังนั้น เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางมักเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อจำกัดปริมาณเงินโดยรวม เพราะผู้คนและบริษัทจะหลีกเลี่ยงการกู้ยืมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เมื่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สกุลเงินท้องถิ่นจะแข็งค่าขึ้นและปริมาณเงินในระบบจะลดลง
ในทางกลับกัน เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง ธนาคารกลางมักจะลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อให้ผู้คนและบริษัทเข้าถึงเงินได้ นำไปสู่การจับจ่ายมากขึ้นและอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเสมอไป ตัวอย่างเช่น หลังวิกฤตทางการเงินในช่วงปี 2008 - 2009 ธนาคารกลางญี่ปุ่นตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเพิ่มเงินเฟ้อ เมื่อเงินเฟ้อไม่สูงขึ้น ธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนติดลบ แม้จะทำถึงขนาดนี้แล้ว แต่ญี่ปุ่นยังคงประสบกับเงินเฟ้อต่ำ แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะดีขึ้นก็ตาม สาเหตุหลักเป็นเพราะคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมเก็บออมมากกว่าใช้จ่าย
ดังนั้น นักเทรดควรใส่ใจอัตราเงินเฟ้อของประเทศเพราะธนาคารกลาง สกุลเงินท้องถิ่นของประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมักจะแข็งค่า เพราะนักเทรดมักคาดหมายว่าธนาคารกลางจะใช้นโยบายสายเหยี่ยว ในทำนองเดียวกัน สกุลเงินของประเทศที่มีเงินเฟ้อต่ำและลดลงมักอ่อนค่า เพราะธนาคารกลางแทบไม่มีโอกาสใช้นโยบายสายเหยี่ยวภายใต้ภาวะเงินเฟ้อเช่นนี้เลย
วิธีเทรดโดยใช้อัตราดอกเบี้ย
หากคุณเชี่ยวชาญการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน อัตราเงินเฟ้อสำคัญมาก และนำมาใช้ได้หลายแบบ
อย่างแรก เมื่อจำนวนตำแหน่งงานแสดงอัตราการว่างงานที่ลดลงและการจ้างงานที่มากขึ้นโดยทั่วไป นักเทรดเชื่อว่าจะนำไปสู่เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยสูงอาจนำไปสู่สกุลเงินที่แข็งค่าขึ้นและผลตอบแทนจากพันธบัตรสูงขึ้น ในทางกลับกัน ผลตอบแทนจากพันธบัตรสูงขึ้นทำให้ราคาหุ้นลดลง เพราะนักลงทุนโยกเงินจากหุ้นไปยังพันธบัตร ในกรณีนี้ คุณซื้อสกุลเงินของประเทศและขายดัชนีและหุ้นของประเทศนั้นได้
อย่างที่สอง ตัวเลขเงินเฟ้อสร้างโอกาสการทำ Carry Trade ซึ่งก็คือการยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งในกรณี Forex จะเป็นการขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือติดลบและซื้อสกุลเงินที่มีผลตอบแทนดีกว่า เป้าหมายคือทำเงินจากสเปรดในรูปอัตราดอกเบี้ยและดูมูลค่าสกุลเงินที่ซื้อเพิ่มขึ้น ตัวอย่างคู่สกุลเงินที่เหมาะกับการทำ Carry Trade คือ USDJPY เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.25% ในเดือนกันยายน 2018 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของญี่ปุ่นอยู่ที่ -0.1%
อย่างที่สาม หากธนาคารกลางยังต้องใช้การสื่อสารทิศทางการดำเนินนโยบายการเงิน ตัวเลข CPI และ PPI อาจช่วยให้คุณพยากรณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต หาก CPI แสดงการเติบโตของเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าธนาคารกลางมีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในทางกลับกัน หากตัวเลข CPI ลดลง พยากรณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง หากทราบเรื่องนี้ คุณสามารถซื้อสกุลเงินท้องถิ่นหากเชื่อว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้น หรือขายหากเชื่อว่ามูลค่าจะลดลง
ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นโอกาส
ข้อดีของตลาด Forex คือขายคู่สกุลเงินได้ เมื่อซื้อคู่สกุลเงิน คุณหวังว่ามูลค่าสกุลเงินฐานจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง เมื่อขายคู่สกุลเงิน คุณหวังว่าสกุลเงินฐานจะมีมูลค่าลดลง ดังนั้น ตัวเลขเงินเฟ้ออาจช่วยให้คุณตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของคู่สกุลเงินโดยมีข้อมูลครบถ้วน
ข้อสรุป
- เงินเฟ้อคือเมื่อราคาเพิ่มขึ้น เงินในกระเป๋าของคุณซื้อของได้น้อยลง
- นักลงทุนโฟกัสเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพราะกระทบต่อเศรษฐกิจและสินทรัพย์ที่จะเลือกลงทุน
- ถ้าเงินเฟ้อสูงเกินไป จะเรียกว่า เงินเฟ้อรุนแรง เงินจะเสื่อมค่าอย่างรวดเร็ว ข้าวของในชีวิตประจำวันจะมีราคาแพงเกินไป
- ถ้าราคาลดลงมากเกินไป จะเรียกว่า เงินฝืด ธุรกิจอาจมีรายได้น้อยลงและเริ่มปลดคนงานออก
- เงินเฟ้ออาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การพิมพ์เงินมากเกินไป ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น หรือภาษีสินค้าสูงขึ้น
- การทำความเข้าใจว่าเงินเฟ้อทำงานอย่างไรช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจว่าควรจะลงทุนอะไรได้ดียิ่งขึ้น